top of page
Recent Posts
Featured Posts

อีกไม่เกิน 300 ปี ประเทศไทยจะมี "อิสลาม" เป็นศาสนาประจำชาติ

  • TBC NEWS
  • Oct 15, 2016
  • 2 min read

น.อ.ทองย้อยพยากรณ์ อีกไม่เกิน 300 ปี ประเทศไทยจะมี "อิสลาม" เป็นศาสนาประจำชาติ และคนต่างชาติจะมาเที่ยวพระปฐมเจดีย์ ในสภาพ "บุโรพุทโธ" แห่งที่สอง ย้ำเตือนถึงชาวพุทธทั่วไทย DO SOMETHING ! อย่าเอาแต่นิ่งดูดาย ไม่งั้นอันตรายจะมาถึงไวกว่าที่คิด ******************************************** คำเตือน : โปรดตั้งสติก่อนอ่าน เพราะเรื่องนี้เป็นยาขม ไม่จรรโลงใจ แต่จรรโลงพระศาสนา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2558 มีญาติมิตรแชร์เรื่องมาที่หน้าบ้านผม เป็นเรื่องว่าด้วยแผนของมุสลิมที่จะยึดครองประเทศไทย ข้อความมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ผมได้ยินแผนแบบนี้มานานแล้ว และเชื่อว่าเป็นความจริงโดยไม่มีข้อสงสัย เฉพาะข้อแรกมีความว่าดังนี้ 1. it must incite a brawl among the clergy, politicians, students, people destroy the monarchy. Takes money to make a CD of Alzheimer's. Finally, the very need money. Break contact By sending people to every party 1. ต้องยุยงให้มันทะเลาะกันในหมู่พระสงฆ์ นักการเมือง นักศึกษา ประชาชน ทำลายสถาบันกษัตริย์ ต้องใช้เงินในการทำ CD ให้สถาบันเสื่อม ต้องใช้เงินมากก็ต้องยอม ทำลายติดต่อกัน โดยส่งคนเข้าทุกพรรค ผมติดใจเรื่อง “ยุยงให้มันทะเลาะกัน” โดยเฉพาะก็คือยกเอา “พระสงฆ์” (clergy) ขึ้นมาก่อนเลย เหมือนจะให้เข้าใจว่า ต้องทำลายวงการสงฆ์เป็นเป้าหมายใหญ่ถ้าจะให้เดา ฝ่ายนั้นคงเห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ถ้าพระทะเลาะกันเละเทะ ก็จะลามไปถึงประชาชนได้ง่าย ทั้งเป็นการทำลายศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระไปด้วยในตัวเคยสังเกตไหมครับ เวลามีกรณีพระประพฤติไม่ถูกต้องในเรื่องต่างๆ ตัวอย่างเช่นกรณีวัดพระธรรมกาย เรื่อยมาจนถึงล่าสุดกรณีมีภาพพระไหว้แม่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย พอมีใครยกเอาขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาว่า “มันเป็นแผนของพวกนั้นที่ยุให้เราทะเลาะกัน” การพูดทำนองนี้มีผลเป็นอย่างไร ผลก็คือ คนวิพากษ์วิจารณ์จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีไปในทันที-ไม่ดีที่ไปทำให้พระแตกแยกกันแล้วก็จะไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรอีกต่อไปผลที่ตามต่อมาคืออะไร ผลก็คือ พระที่ประพฤติไม่ดีไม่ถูกต้องก็เลยสบายไป-คือสามารถประพฤติไม่ดีไม่ถูกต้องต่อไปได้อย่างสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาคอยทักท้วงพอใครทำท่าจะทักท้วงพระขึ้นมาสักหน่อย ก็จะมีคนเสกคาถา “ยุให้เกิดความแตกแยก” ทุกครั้งไปมองแง่หนึ่งก็ดี-ดีที่ไม่ทะเลาะกัน จะได้ไม่เข้าแผนมุสลิม แต่การที่พระประพฤติไม่ดีไม่ถูกต้อง แล้วไม่มีใครทักท้วง ก็มีผลทำให้พระศาสนาเสื่อมโทรมได้เช่นเดียวกัน เป็นการทำลายพระศาสนาอีกวิธีหนึ่งซึ่งก็ร้ายไม่น้อยไปกว่าทะเลาะกัน หรือร้ายกว่าด้วยซ้ำไป ผมเคยบอกแล้วว่า การทักท้วงนั้นมี ๒ แบบ คือ จับผิด กับ ชี้โทษ จับผิด มีเจตนาจะดูถูกคนอื่น ชี้โทษ มีเจตนาที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ นำไปสู่การแก้ไขให้ถูกต้อง และจะได้ไม่ไปสนับสนุนคนผิดหรือศรัทธาแบบผิดๆ ***************************************************** ตามความเห็นของผม แม้ไม่มีแผนของมุสลิมเข้ามาทำลาย เราก็ทำลายตัวเองอยู่แล้วทุกวัน ลักษณะการทำลายตัวเอง ดูได้จากสภาพต่อไปนี้ 1. ไม่ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจถูกต้องว่า อะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า การศึกษาตามระบบที่จัดกันอยู่ในวงการพระศาสนาทุกวันนี้เป็นการเรียนเน้นการสอบได้ ไม่ได้เน้นที่ความรู้ความเข้าใจในคำสอน และที่สำคัญ-ไม่ได้เน้นเพื่อนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง สถิติผู้สอบได้มีมากขึ้น สถิติผู้ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยก็มากขึ้น และผู้ที่เลื่อมใสสนับสนุนผู้ประพฤตินอกธรรมนอกวินัยก็มากขึ้นตามไปด้วย 2. ลัทธินอกพระพุทธศาสนาระบาดเข้าไปในวัดมากขึ้น โดยพระสงฆ์เป็นผู้นำเข้าไปเอง รวมทั้งกิจกรรม-กิจการที่จัดขึ้นเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ความขลัง หวังพึ่งพาการดลบันดาลของเทพเจ้าก็จัดขึ้นในวัดชุกชุมขึ้น ทุกวันทุกคืน 3. ขณะเดียวกัน กิจกรรม-กิจการ ที่จัดขึ้นเพื่อให้การศึกษาเรียนรู้เข้าใจหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้องก็หดหาย กล่าวได้ว่า ณ วันนี้ ทั้งวัด ทั้งโรงเรียน ไม่มีการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้มีอยู่บ้างก็ทำอย่างซังกะตาย ความฟูเฟื่องของการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ เป็นเพียงภาพลวงตาชนิดหนึ่ง อันเนื่องมาจากการจัดการศึกษาที่เอียงตามกระแสโลก คือเรียนเพื่อให้ได้ปริญญา เพื่อให้ได้วุฒิ มิใช่เรียนเพื่อฝึกหัดขัดเกลา การปฏิบัติกิจของสงฆ์ ตลอดจนการปฏิบัติขัดเกลาตนเอง อันเป็นเนื้อตัวของพระศาสนา ถูกทำให้เป็นคนละเรื่องคนละส่วนกับการศึกษา และปล่อยให้เป็นไปตามอัธยาศัย 4. ผู้บริหารการพระศาสนาไม่ได้ออกไปชนกับปัญหา แต่รอให้ปัญหาวิ่งเข้ามาชน ถ้าเปรียบกับการชกมวยก็คือใช้วิธีตั้งการ์ดรับท่าเดียว ไม่ตอบ ไม่ทำอะไรคู่ต่อสู้ ปัญหาต่างๆ ในวงการคณะสงฆ์ ทั้งปัญหาทางธรรมและทางวินัย แทบจะไม่มีคำตอบจากผู้บริหารว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ การณ์จึงกลายเป็นว่า ใคร สำนักไหน อยากจะทำอะไร อยากจะพูดอะไร อยากจะคิดอะไร ก็สามารถทำได้อย่างเสรี ไม่มีใครกล้าเข้ามาชี้ผิดชี้ถูกเป็นคำขาด 5. หน่วยงานที่ควรจะมีหน้าที่สนับสนุนกิจการพระศาสนาก็ทำงานแบบตั้งรับท่าเดียว บางครั้งกลับเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเสียอีก ดังกรณีท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีเป็นตัวอย่าง 6. ผู้บริหารการพระศาสนา ไม่มีนโยบายที่เด่นชัดว่า จะพัฒนาพระศาสนาไปในทิศทางใด และจะแก้ปัญหาที่เชิญหน้าอยู่ด้วยวิธีการอย่างไร พูดสั้นๆ ว่า ท่านใช้วิธีอยู่กันไปวันๆ เท่านั้น ไม่ได้เห็นว่ามีอะไรเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข ตัวอย่างที่เห็นชัดมากก็อย่างเช่น จำนวนพระภิกษุสามเณรลดลงเรื่อยๆ จะทำอย่างไรกัน ยังไม่เคยได้ยินว่าผู้บริหารมีความคิดอย่างไร นอกจากบอกว่ามันเป็นไปตามสภาพสังคม ก็คือเท่ากับบอกว่าไม่ต้องทำอะไรนั่นเอง เคยปรารภเรื่องทั้งปวงดังกล่าวมานี้กับพระสังฆาธิการบางรูป ท่านบอกว่ามันก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว “สมัยที่คุณบวชอยู่มันก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ” แล้วเราก็อยู่กันมาได้เรื่อยๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไร 7. ความรักความห่วงหวงพระศาสนาจืดจางบางเบาลงไปเกือบหมด คนส่วนมาก-รวมทั้งผู้บริหารการพระศาสนาเอง-มองเห็นเฉพาะเรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้มองไปถึงอนาคตของพระศาสนาว่าจะเป็นอย่างไร จะพูดว่าเวลานี้ทุกคนทำอะไรแบบตัดช่องน้อยแต่พอตัว ก็คงไม่ผิด และที่สำคัญที่สุดก็คือ เวลานี้ไม่มีใครคิดที่จะรักษาประเทศไทยไว้ให้เป็นดินแดนแห่งผ้ากาสาวพัสตร์อีกต่อไป แต่มีแนวโน้มที่จะอพยพย้ายพระพุทธศาสนาไปไว้ต่างประเทศมากขึ้น ****************************************************** พูดสั้นๆ ว่า มีแต่เตรียมทิ้งบ้านทิ้งเมืองไปอยู่ที่อื่นกันทั้งนั้น สภาพการพระศาสนาในบ้านเราเวลานี้ อุปมาเหมือนกรุงศรีอยุธยาตอนใกล้จะเสียกรุงครั้งที่สอง คนมีอำนาจมีตำแหน่งหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ ส่วนคนที่คิดจะทำก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ ตอนเสียกรุงครั้งที่สอง มีเรื่องบันทึกไว้ว่า ทหารจะยิงปืนใหญ่ก็ต้องขออนุญาตก่อนเพราะนางข้างในท่านขวัญอ่อน ตอนนี้ ใครจะทักท้วงความประพฤติไม่ถูกธรรมถูกวินัยของพระสงฆ์ ก็แทบว่าจะต้องขออนุญาตก่อนเพราะจะถูกประณามว่าเป็นการทำให้เกิดความแตกแยก ******************************************************** ผมจะขอทำนายไว้เลยครับ-ใครช่วยจำไว้และบอกต่อๆ กันไปด้วย อีกไม่เกินสามร้อยปี 1. จะมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ 2. พระปฐมเจดีย์จะมีสภาพเหมือนบุโรบุโด (บรมพุทโธ) ในอินโดนีเซีย คือเหลือแต่ซากท่ามกลางชาวมุสลิม พี่น้องชาวมุสลิม (เขาให้เรียกอย่างนี้เพื่อความปรองดองสมานฉันท์) ใจเย็นๆ ไว้ ไม่ต้องใช้แผนอะไรที่จะทำให้ถูกมองว่าอกตัญญูต่อแผ่นดินไทยหรอกครับ รอไปอีกไม่นานพระพุทธศาสนาในเมืองไทยก็เน่าโทรมไปเอง ถึงเวลานั้นท่านก็หาไม้กวาดแข็งๆ มาสักอันหนึ่งกวาดซากเน่าๆ ทิ้งไป ท่านก็จะได้แผ่นดินไทยที่เป็นแผ่นดินอิสลามสมความปรารถนา เรื่องแผนของมุสลิมนี้ ผมไม่แน่ใจว่าคณะสงฆ์หรือผู้บริหารการพระศาสนาทราบกันแล้วหรือยัง ? ถ้ายังไม่ทราบ ก็แปลว่าท่านยังไม่คิดว่าจะต้องทำอะไร ถ้าทราบ แต่ท่านไม่เชื่อ ท่านก็ย่อมจะไม่คิดทำอะไรเช่นกัน ถ้าทราบแล้วและเชื่อว่าเขาทำจริง ท่านก็คงจะย้อนถามว่า-แล้วจะให้อาตมาทำอย่างไร ก็แปลว่าท่านก็ไม่คิดว่าตัวท่านจะต้องทำอะไรอยู่นั่นเอง หรือแม้คิด ก็คงจะคิดว่าการที่ควรจะทำอะไรนั้นไม่ใช่หน้าที่ของท่าน สรุปแล้วก็คือ ไม่มีใครจะต้องทำอะไร นอกจากอยู่กันไปตามปกติ หรืออยู่กันไปวันๆ เหมือนเดิม ในมหาปรินิพพานสูตร (ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 95) แสดงเหตุผลที่พระพุทธองค์ตกลงพระทัยที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ตามคำของมารที่กราบทูลว่า เอตรหิ โข ปน ภนฺเต ภิกฺขู ภควโต สาวกา ก็บัดนี้ ภิกษุ (ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา) ผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า วิยตฺตา เป็นผู้ฉลาด วินีตา ได้รับแนะนำดีแล้ว วิสารทา เป็นผู้แกล้วกล้า พหุสฺสุตา เป็นพหูสูต ธมฺมธรา เป็นผู้ทรงธรรม ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺนา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สามีจิปฏิปนฺนา เป็นผู้ปฏิบัติชอบ อนุธมฺมจาริโน ประพฤติตามธรรม สกํ อาจริยกํ อุคฺคเหตฺวา เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ ปญฺญเปนฺติ ปฏฺฐเปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ จักบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น อุปฺปนฺนํ ปรปฺปวาทํ สหธมฺเมน สุนิคฺคหิตํ นิคฺคเหตฺวา สปฺปาฏิหาริยํ ธมฺมํ เทเสนฺติ แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรัปวาทที่เกิดขึ้นได้โดยสหธรรมเรียบร้อย ****************************************** ความในมหาปรินิพพานสูตรนี้ถอดความออกมาเป็นหลักปฏิบัติ หรือหน้าที่ ของชาวพุทธได้ว่า - ๏ ศึกษาเล่าเรียน ๏ พากเพียรปฏิบัติ ๏ เคร่งครัดบำรุง ๏ มุ่งหน้าเผยแผ่ ๏ แก้ไขให้หมดจด ท่านผู้ใดมีน้ำใจรักและห่วงพระศาสนา สิ่งที่ท่านสามารถทำได้เดี๋ยวนี้เลยและควรทำอย่างยิ่งก็คือ ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมๆ ไปกับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แหล่งที่ควรใช้เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนก็คือวัดซึ่งมีอยู่แล้วทั่วประเทศไทย บุคลากรที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงก็มีอยู่แล้ว คือ พระสงฆ์ สิ่งที่ยังขาดอยู่-ขาดอย่างยิ่งและเวลานี้ไม่มีที่หวังว่าจะเกิดมีขึ้นได้อย่างไร-ก็คือการบริหารจัดการ แต่ไม่ต้องรอครับ ท่านอ่านเรื่องนี้จบแล้ว โปรดถามตัวเองว่า-ท่านได้ลงมือศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมๆ ไปกับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า-แล้วหรือยัง ถ้ายัง ลงมือเลยครับ การศึกษาเล่าเรียนเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมๆ ไปกับการปฏิบัติให้ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เท่านั้นที่จะรักษาพระศาสนาเอาไว้ได้ ถ้าผู้มีหน้าที่บริหารการพระศาสนาท่านไม่คิดจะทำ เราก็ต้องทำกันเอง ******************************************** ลงมือเลยครับ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย 16 ตุลาคม 2558


Comments


Search By Tags
Archive

ติดต่อประสาน

ฝ่ายข่าวสารข้อมูล BanJob Channel Today News

Email:BanJobChannel@Gmail.com

Copyright © 2016 BanJob Channel Today News  is not responsible for the content of external sites. 

bottom of page