top of page
Recent Posts
Featured Posts

"ไตรที่ ๒ ศีล สมาธิ ปัญญา"

  • banjobchannel
  • Dec 22, 2016
  • 1 min read

@ ความนำ

๑. ศีล หรือ สีล ในภาษาบาลี มักได้ยินแปลกันว่า ปกติ หมายถึง พฤติกรรมปกติ คือ ไม่มีการทำผิดใดๆ ทางกายวาจาใจ ตรงนี้ ท่านมุ่งไปที่สังคมมนุษย์ยุคต้น "ภัทรกัป" ยุคนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติ(เกิด)ต่อเนื่องกัน ๕ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ พระพุทธเจ้ากัสสปะ พระพุทธเจ้าโคตมะ และพระพุทธเจ้าเมตเตยยะ ๔ พระองค์แรกอุบัติแล้ว ระยะเวลานี้คือระยะเวลาศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔

มนุษย์ยุคต้นภ้ทรกัปคืออาภัสสรพรหมลงมาเกิด มีศีลสมาธิปัญญาประจำใจประจำชีวิต การเป็นอยู่จึงปกติ ไม่มีการทำผิดใดๆ มีการเคารพสิทธิของกันและกันในสิ่งที่รัก ๓ สิ่ง คือ ชีวิต ทรัพย์สิน คู่ครอง ไม่มีการฆ่า ไม่มีการถือเอาทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่มีการประพฤติผิดในกาม จึงไม่จำเป็นต้องมีการพูดเท็จ ไม่ต้องมีการดื่มสุราเมรัยย้อมใจ นี่คือปกติของชีวิตและสังคมของมนุษย์ในยุคนนั้น

ต่อมา เมื่อมนุษย์ทำผิดปกติ คือ มีการฆ่า การถือเอาทรัพย์สินที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ การประพฤติผิดในกาม จึงมีการพยายามดึงมนุษย์ให้เข้าสู่ความปกติ นั้นด้วยการให้ฝึกหัดตนตามศีลจึงใช้ศีลนั้นเป็นบทฝึกหัดแล้วเรียกว่า "สิกขาบท" แปลว่า "บทฝึกหัด" หรือ แนวทางสำหรับฝึกหัดตน มีชื่อเต็มว่า ปัญจสิกขาบท หรือ สิกขาบท ๕ ซึ่งเป็นที่มาของสิกขาบทของพระสงฆ์ในเวลาต่อมา

จากนั้น ศีล ก็มีความหมายเพิ่ม คือ หมายถึง ศิลา (หิน) ในฐานะที่เป็นพื้นฐานแข็งแกร่งสำหรับคุณธรรมสูงๆขึ้นไป สิระ (ศรีษะ) ในฐานะเป็นตัวนำของคุณธรรมสูงๆขึ้นไป สีตละ (เย็น) ในฐานะทำใจให้ร่มเย็น มีพฤติกรรมร่มเย็น ในฐานะเป็นผล สีลนะ (รวม) ในฐานะรวมกายวาจาให้อยู่ในระเบียบเพราะรวมใจได้ และอุปธารณะ (รองรับ) ในฐานะรองรับให้เกิดคุณธรรมที่สูงๆขึ้นไป และยังมีความเชิงเปรียบเทียบ คือ เป็น โสปาณะ (บันได) ให้ไต่ขึ้นไปสู่สวรรค์ มรรค ผล นิพพาน และเป็นน้ำที่ช่วยล้างชำระความไม่สะอาดทางกายวาจาใจ เพราะศีลควบคุมไปถึงใจ ดังนั้น การจึงต้องเริ่มต้นที่ใจเป็น "เวรมณี" คือ คิดเว้นจากการทำไม่ดี การทำใจให้เป็นเวรมณีอาจมาจากการตั้งใจทำเอง หรือจากการขอศีลจากผู้มีศีล หลักก็คือขอจากพระหรือจากฆราวาสผู้มีศีล

สรุปแล้ว ผลของศีลคือช่วยชำระสมาธิและปัญญาให้สะาด

สมาธิ (สํ = พร้อม, อา = ยิ่ง, ธา = วาง, ตั้ง) มักได้ยินปราชญ์รุ่นครูแปลว่า ความตั้งใจมั่น ไม่ได้หมายถึง ตั้งใจทำอะไร แต่หมายถึง ตั้งใจให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว ในสถานการณ์ต่างๆ ดังนั้น จึงมีความหมายว่า ตั้งมั่น, รวม คือ รวมคุณธรรมสายสมาธิมาไว้ด้วยกัน เช่น เมตตา กรุณา และปัญญา เมื่อรวมกันแล้ว จึงทำให้จิตตั้งมั่น มั่นคง เข้มแข็ง

๒. สมาธิ เป็นคำนาม แต่ถ้าเป็นกิริยาจะอยู่ในรูปของคำว่า สมาธิยติ และ สมาหิต แต่ก็แปลว่า ตั้งมั่น มั่นคง เช่น ตุวฏํ สมาธิยติ สุขิโน จิตฺตํ - จิตของผู้มีความสุขย่อมเป็นสมาธิ (สงบ ตั้งมั่น) เร็ว และว่า สมาหิโต ภิกฺขเว ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาติ - ภิกษุทั้งหลาย ภืกษุผู้มีสมาธิ (จืตสงบ ตั้งมั่น) ย่อมรู้แจ้ง (ชัดเจน) ตามความเป็นจริง เพราะสมาธิทำให้จิตซึ่งเปรียบเหมือนน้ำไม่แกว่ง เมื่อจิตนิ่งไม่แกว่ง ไม่ฟุ้ง ซ่าน กิเลสที่เปรียบเหมือนตะกอนก็ตกตะกอน ทำให้จิตผ่องใส แล้วคุณธรรมทั้งหลาย เช่น ปัญญา ก็ฉายแสงออกมา

สภาวะของสมาธิอีกอย่างหนึ่ง คือ "จิตเป็นหนึ่ง" หมายถึง รับอารมณ์ดียว อยู่ได้นาน และมีปีติสุขหล่อเลี้ยง ศีลจะมาช่วยทำสมาธิให้สะอาด บริสุทธิ์ตามกำลังของสมาธิเอง

สมาธิเป็นคุณสมบัติของจิตที่มีติดตัวทุกคนมาตั้งแต่เกิด (inborn) จึงเรียกว่า "มูลสมาธิ" คือ สมาธิดั้งเดิมที่เป็นรากของสมาธิต่อๆมาที่เราฝึกกันได้ คือ อุปจารสมาธิ (สมาธิใกล้แนบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่กำหนด) กับ อัปปนาสมาธิ (สมาธิที่แนบเป็นอันหนึ่งอันเดียวสิ่งทีกำหนด) ซึ่งพัฒนาต่อกันมาตามลำดับ

มีตัวชี้วัดว่าสมาธิเกิด คือจิตสงบเพราะกิเลสที่คอยรบกวนจิตให้ฟุ้งซ่านสงบลง และมีปีติสุขเกิดตามทันที ภาษาอภิธรรมเรียกว่า สัมปยุต คือ ประกอบร่วมหรือร่วมประกบด้วยเสมอ จึงทำให้จิตเบิกบาน แจ่มใส

๓. ปัญญา แทบจะไม่ต้องให้ความหมายกัน เพราะได้ยินได้ใช้กันจนคุ้น แต่เอาเข้าจริง ปัญญาที่เรามีที่เราใช้และคุ้นเคยก็ไม่ใช่ปัญญาแท้ แต่เป็นปัญญาเทียม คือ ดูเหมือนว่าจะทำให้ลดปัญหา แต่กลับเพิ่มปัญหา เพราะปัญญาแท้ตามพระพุทธศาสนาต้องแก้ปัญหาลดปัญหาได้ เพราะเนื้อแท้ของปัญญาคือ รู้แล้ว กิเลสลดคุณธรรมเพิ่ม

แล้วปัญญาแท้คืออะไร ? คือ รู้และเข้าใจว่าสรรพสิ่งมีเกิดมีดับตามปัจจัยปรุงแต่ง รู้ว่าการมีการได้อะไรไม่ยั่งยืน แต่ก็ต้องมีต้องได้ตามเหตุปัจจัยเพื่อใช้ทำประโยชน์ แต่ไม่หลงไม่ติด ตรงนี้สิทำยาก ส่วนใหญ่พอมีแล้วก็หลงก็ติด

รู้ต่อมาคือรู้ว่าเราเกิดมามีกรรมเป็นตัวส่ง สรรสร้าง และจัดการชีวิตเรา จึงทำให้มั่นคงในความดีหลีกไกลความชั่ว รู้ว่าทุกข์มาจากเหตุคือกิเลส รู้ว่าทุกข์ดับได้ แต่ต้องดำเนินไปตามทางคือ อริยมรรคมีองค์ ๘

รู้อย่างนี้คือรู้ถูกแล้ว จากนั้นจึงฝึกคิดให้ถูก เพื่อความคิดจะได้ไปคุมกายวาจาและการดำเนินชีวิต คิดอย่างนี้เรียกว่าคิดถูกคือคิดออกจากทุกข์ จากนั่นจึงมือปฏืบัติให้พ้นทุกข์ คือ ฝึกสติ ตามดูทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ลงมือทำตามความคิดเพื่อ ให้พ้นทุกข์ อย่างต่อเนื่อง จนเกิดสมาธิไปหนุนปัญญาหนุนศีล

ในที่สุดก็วางทุกข์ได้ แม้จะต้องทำงานอยู่กับสิ่งให้เกิดทุกข์

สรุปแล้ว วิถีพุทธ ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา ตรงนี้แหละทำให้เราอ่อนโยน แต่ต้องฝึกไม่ให้อ่อนแอ เพื่อเตรียมตั้งรับกับความรุนแรงที่อาจมี


 
 
 

Comments


Search By Tags
Archive

ติดต่อประสาน

ฝ่ายข่าวสารข้อมูล BanJob Channel Today News

Email:BanJobChannel@Gmail.com

Copyright © 2016 BanJob Channel Today News  is not responsible for the content of external sites. 

bottom of page